ข้อมูลบริษัท
โรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์เป็นหนึ่งในบรรดาผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมน้ำตาลของภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยมีนายวิเชียร ตั้งตรงเวชกิจผู้ริเริ่มปลูกอ้อยและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกอ้อยในจังหวัดบุรีรัมย์
58 ปี
ก่อตั้ง
กำลังการผลิต
24,000
ตันอ้อยต่อวัน
ปริมาณอ้อยเข้าหีบ
2.4 - 3.0
ล้านตันอ้อยต่อฤดูกาล
บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) (“BRR”) เดิมชื่อ บริษัท โรงงานน้ำตาลสหไทยรุ่งเรือง (2506) จำกัด (ได้รับโอนกิจการมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานน้ำตาลสหไทยรุ่งเรือง) จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2506 ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจโรงงานน้ำตาลทรายแดง ที่จังหวัดบุรีรัมย์
บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) (“BRR”) และบริษัทย่อย เป็นหนึ่งในบรรดาผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมน้ำตาลของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีนายวิเชียร ตั้งตรงเวชกิจ ผู้ริเริ่มปลูกอ้อยและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกอ้อยในจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวสีรำ และน้ำตาลทรายดิบทั้งในและต่างประเทศ นานกว่า 5 ทศวรรษ รวมถึงการนำผลพลอยได้ที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล เช่น กากอ้อย กากหม้อกรอง และกากน้ำตาล ต่อยอดธุรกิจอย่างครบวงจร ประกอบด้วยธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล ธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ย และธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาอ้อย และธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นธุรกิจสนับสนุน
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจ
กลุ่มบริษัทน้ำตาลบุรีรัมย์ มีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ โดยวางแผนในระยะสั้นและระยาว รวมทั้งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์และพันธกิจที่ได้วางไว้
เป้าหมายระยะสั้น
สร้างความมั่นคงด้านผลผลิตและสร้างชีวิตที่ดีแก่ชาวไร่อ้อย
ตามที่บริษัทได้ตั้งเป้าหมายสร้างความมั่นคงด้านผลผลิตและสร้างชีวิตที่ดีแก่ชาวไร่อ้อย โดยส่งเสริมการปลูกอ้อยและขยายพื้นที่เพาะปลูกกว่า 250,000 ไร่ เพื่อเพิ่มผลผลิตกว่า 3 ล้านตัน ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานคุณภาพอ้อยให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงสุดนั้น ตั้งแต่ปี 2560/61 บริษัทมีปริมาณอ้อยเข้าหีบ 3.15 ล้านตัน โดยเพิ่มขึ้นจากฤดูการผลิต ปี 2559/60 ซึ่งมีอ้อยเข้าหีบจำนวน 2.2 ล้านตัน อยู่ประมาณ 940,000 ตัน สำหรับพื้นที่ปลูกอ้อย (ปีการผลิต 2560/61) มีพื้นที่ประมาณ 239,523 ไร่ เพิ่มขึ้นจากฤดูการผลิตปี 2559/60 จำนวน 54,411 ไร่ (ปีการผลิต 2559/60 มีพื้นที่จำนวน 185,112 ไร่) รวมทั้งมีจำนวนชาวไร่คู่สัญญาในปี 2560/61 จำนวน 11,780 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีจำนวน 11,023 ราย และในด้านคุณภาพอ้อย ปี 2560/61 มีค่าความหวานของอ้อย (“CCS.”) อยู่ที่ 13.71 และมีผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยที่ 119.88 กิโลกรัม ต่อตันอ้อย
แม้ว่าฤดูการผลิตปี 2561/62 จะประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนักทำให้มีจำนวนชาวไร่คู่สัญญาลดลงเป็นจำนวน 11,749 ราย และมีพื้นที่ปลูกอ้อย 238,074 ซึ่งลดลงจากปี 2560/61 เล็กน้อย แต่ด้วยการพัฒนาและรักษามาตรฐานคุณภาพอ้อย ควบคู่กับการให้ความรู้แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตอ้อยในปีดังกล่าวลดลงไม่มากนักจากปี 2560/61 โดยมีปริมาณอ้อยเข้าหีบจำนวน 2.93 ล้านตัน และมีค่าความหวานของอ้อย (“CCS.”) อยู่ที่ 13.61 และมีผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยที่ 120.54 กิโลกรัม ต่อตันอ้อย
ด้วยการบริหารจัดการดังเช่นที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้ฤดูการผลิตปี 2562/63 ที่ประเทศไทยและภาคอีสานยังคงประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนัก บริษัทมีปริมาณอ้อยเข้าหีบจำนวนเพียง 1.79 ล้านตัน แต่ยังคงมีค่าความหวานของอ้อย (“CCS.”) อยู่ที่ 13.75 และมีผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยที่ 121.92 กิโลกรัมต่อตันอ้อย ซึ่งสามารถรักษาคุณภาพความหวานเพื่อให้ได้ปริมาณน้ำตาลที่มากขึ้นในขณะที่มีปริมาณอ้อยลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้หยุดพัฒนาในเรื่องดังกล่าว เพราะบริษัทเข้าใจดีว่าวัตถุดิบเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับธุรกิจน้ำตาลทราย และธุรกิจที่ได้มาจากสิ่งเหลือจากกระบวนการปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาลทราย บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มปริมาณอ้อยเข้าหีบจาก 1.75 ล้านตัน เป็น 3.0 ล้านตันในปี 2566
ขยายการลงทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ และพัฒนาธุรกิจสิ่งเหลือจากกระบวนการปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาลทราย
ในฤดูการผลิตปี 2562/63 บริษัทได้ผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ (Refined Sugar) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเน้นการส่งออกให้กับโรงงานอุตสาหกรรมนั้น ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงสุด 1,200 ตันต่อวัน โดยมีมูลค่าการลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 393.75 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจพลังงานไฟฟ้าชีวมวล ในปี 2562 บริษัทมีโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้งสิ้น 3 แห่ง ได้แก่ BEC, BPC และ BPP นอกจากนั้น BPP ได้ขายไฟฟ้าให้กับโรงงานน้ำตาล เพื่อรองรับกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรองรับการจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) อีกด้วย ถ้าหาก กฟภ. เปิดรอบการเจรจารับซื้อไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านระบบและเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้า ความพร้อมของวิสาหกิจชุมชน และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ หากภาครัฐเปิดให้ยื่นข้อเสนอเพื่อพิจารณาคุณสมบัติรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมากในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการ Quick Win)
สำหรับธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ต่าง ๆ จากชานอ้อย รวมทั้งการผลิตเยื่อชานอ้อย ซึ่งมีบริษัท ชูการ์เคน อีโคแวร์ จำกัด (“SEW”) ดำเนินธุรกิจอยู่นั้นได้ผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2563 ซึ่ง SEW มีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยประมาณ 200 - 250 ล้านชิ้นต่อปี โดยบรรจุภัณฑ์หลักจะเป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและบรรจุภัณฑ์ทางการแพทย์ และ SEW ยังสามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ ตามที่ลูกค้าต้องการได้ อาทิ บรรจุภัณฑ์สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ SEW มุ่งเน้นทำตลาดในต่างประเทศเป็นหลัก แต่จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ไม่สามารถส่งออกได้ตามเป้าหมาย ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์โดยการหาตลาดใหม่ภายในประเทศเพื่อทดแทนยอดขายของการส่งออกแต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงทำให้ไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2563 สถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายดีขึ้น จึงมีลูกค้าต่างประเทศเข้ามาตรวจและประเมินการผลิตของบริษัท และขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาทางการค้าเพิ่มเติม ส่วนแผนการผลิตเยื่อของบริษัท บริษัทได้ก่อสร้างโรงงานเยื่อขนาดเล็กเพื่อทำการวิจัยและทดลองการผลิตเยื่อชานอ้อยแล้วเสร็จในปี 2563 ทั้งนี้ บริษัทกำลังดำเนินการก่อสร้างโรงเยื่อขนาดใหญ่ เพื่อผลิตเยื่อชานอ้อยสำหรับเป็นวัตถุดิบให้แก่โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ของบริษัทเอง โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 3 ของปี 2564 หากบริษัทผลิตเยื่อได้เองจะมีต้นทุนวัตถุดิบในราคาที่ต่ำลง
เป้าหมายระยะยาว
บริษัทมุ่งมั่นรักษามาตรฐานและความเป็นหนึ่งในด้านการบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพผลผลิตอ้อย เพื่อผลิตน้ำตาลทราย และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งเหลือจากกระบวนการปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาลทรายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะบริษัทเข้าใจดีว่าวัตถุดิบ คือ ความเสี่ยงสูงสุดของธุรกิจ ดังนั้น หากมีระบบการบริหารจัดการและควบคุมดูแลได้อย่างมีเสถียรภาพแล้ว จะทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในด้านกิจการโรงงานน้ำตาล บริษัทมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต ตามสภาวะเศรษฐกิจและความต้องการของตลาดในขณะนั้น นอกจากนี้ บริษัทได้ศึกษาความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์เอทานอล, กัญชง, กัญชา และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่สามารถต่อยอดธุรกิจ รวมทั้งธุรกิจประเภทใหม่ ๆ เพื่อ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
การดำเนินธุรกิจขององค์กรให้เติบโตและก้าวหน้าอย่างยั่งยืนนั้น นอกจากความเก่งและความสามารถในการทำกำไรเพียงอย่างเดียวคงมิอาจทำให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน แต่ต้องประกอบด้วยการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาลและจริยธรรม การดูแลเอาใจใส่ผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงการเรียนรู้ พัฒนาตนเองและคิดค้นต่อยอดสิ่งใหม่อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ จึงมุ่งมั่นพัฒนา 5 ด้านดังนี้
-
การพัฒนาบุคลากร
บุคลากรเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนา บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือจึงให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรบุคคล ทั้งในด้านการจัดหาบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน โดยคำนึงถึงกระบวนการสรรหาพนักงานจากภายในและภายนอกองค์กรที่มีความสามารถเหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่ง พร้อมทั้งติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดอย่างต่อเนื่อง และการรักษาไว้ซึ่งบุคลากรที่มีความสำคัญ อีกทั้งมีการควบคุมให้พนักงานปฏิบัติตามข้อบังคับบริษัท, “คู่มือการกำกับดูแลกิจการที่ดีและจรรยาบรรณธุรกิจ” และนโยบายต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ตลอดจนการทำให้บุคลากรในองค์กรตระหนักรู้ถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และ มีส่วนรวมในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว นอกจากนั้น บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ ได้กำหนด “นโยบายการพัฒนาบุคลากร” ซึ่งรวบรวมอยู่ใน “คู่มือการกำกับดูแลกิจการที่ดีและจรรยาบรรณธุรกิจ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 5” ซึ่งประกาศและนำใช้นโยบายดังกล่าวในปี 2564
-
การพัฒนาเกษตรกรชาวไร่อ้อย
ตามวิสัยทัศน์และพันธกิจที่กลุ่มบริษัทมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงด้านผลผลิตและสร้างชีวิตที่ดีแก่ชาวไร่อ้อย ตามปรัชญา “น้ำตาลสร้างในไร่” ดังนั้น กลุ่มบริษัทจึงได้ส่งเสริมและพัฒนาชาวไร่อ้อยให้มีความรู้ในการบริหารจัดการอ้อยทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การบำรุงรักษา และการเก็บเกี่ยว รวมถึงความรู้ในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้บริหารจัดการอ้อย และการนำคณะชาวไร่อ้อยไปศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำความรู้มาต่อยอดและประยุกต์ใช้ การพัฒนาในด้านนี้ถือเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สามารถเพิ่มคุณภาพและปริมาณผลผลิตต่อไร่ให้แก่เกษตรกร และยังสามารถลดความเสี่ยงในการจัดหาวัตถุดิบและสร้างความมั่นคงด้านผลผลิตให้แก่กลุ่มบริษัทได้อีกด้วย นอกจากนั้น กลุ่มบริษัทยังมีแนวคิดเปลี่ยนเกษตรกร เป็น “นักธุรกิจชาวไร่” โดยแนวคิดดังกล่าวมุ่งให้เกษตรกรสามารถวางแผนและบริหารจัดการในการเพาะปลูกอ้อยและกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้และการส่งเสริมจากกลุ่มบริษัท อย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างให้อาชีพเพาะปลูกอ้อยเป็นอาชีพที่มั่นคง สร้างรายได้ที่ดี มีความสุขในการทำงาน อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ และสามารถสืบทอดกิจการจากรุ่นสู่รุ่น
-
การพัฒนางานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี
ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทให้ความสำคัญในการพัฒนางานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อนำมาพัฒนา ปรับปรุง และเสริมศักยภาพในการประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัท และเกษตรกรชาวไร่อ้อย กลุ่มบริษัทมีการบริหารจัดการระบบไร่ออนไลน์ (Online) การจัดทำระบบสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) รวมทั้งระบบจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ แบบ MIS (Management Information System) และระบบแผนที่แปลงอ้อย GIS (Geographic Information System) รวมทั้งนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ เพื่อส่งเสริมการปลูกอ้อย และตรวจติดตามรายแปลงอ้อยได้ตามหลักวิชาการ รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์ นอกจากนั้น ยังมีงานวิจัยเพื่อป้องกันและกำจัดโรคพืชและศัตรูพืช อาทิ งานวิจัยการควบคุมการระบาดของโรคและแมลง โดยใช้วิธีธรรมชาติและมีการเพาะเลี้ยงศัตรูธรรมชาติ เช่น แตนเบียน เพื่อควบคุมการระบาดของหนอนกออ้อย และเชื้อราเขียว เพื่อกำจัดด้วงหนวดยาว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการการเกษตรด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และงานวิจัยต่าง ๆ ให้สอดคล้องตามนโยบายเกษตรยุคไทยแลนด์ 4.0 (Thailand 4.0) ของรัฐบาล ที่เน้นเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยล่าสุดผู้เชี่ยวชาญของบริษัทได้มีงานวิจัยด้านการผลิตเยื่อชานอ้อย และหากบริษัทผลิตเยื่อได้เองจะมีต้นทุนวัตถุดิบในราคาที่ต่ำลง
-
การพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อม
กลุ่มบริษัทฯ เชื่อว่าการพัฒนาธุรกิจต้องทำควบคู่กับการพัฒนาชุมชน และการรักษาสิ่งแวดล้อม
ด้านการพัฒนาชุมชน :
กลุ่มบริษัทมีพันธกิจสำคัญในการยกระดับความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น โดยการพัฒนาความรู้และส่งเสริมอาชีพให้แก่คนในชุมชน จัดกิจกรรมศึกษาดูงานเพื่อพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์และรับซื้อสินค้าจากชุมชน เพื่อจัดทำเป็นของที่ระลึกของกลุ่มบริษัทเพื่อมอบในเทศกาลปีใหม่หรือในโอกาสต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้คนในชุมชนสามารถดำรงชีพได้อย่างมั่นคงและมีความภูมิใจในตนเอง นอกจากนั้น ยังพัฒนาและสนับสนุนการศึกษาของบุตรหลานและโรงเรียนในชุมชนรอบสถานประกอบการของกลุ่มบริษัทอีกด้วย
โดยในปี 2563 บริษัทได้ร่วมจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน เอส.ที ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของชุมชนสาวเอ้, ชุมชนโนนกลาง, ชุมชนโนนเต่าทอง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน เนื่องจากความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทคือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะนำพาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการพัฒนาสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ชุมชนข้างเคียง และพนักงานให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อม :
กลุ่มบริษัทดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากการจัดการภายในโรงงาน ซึ่งใส่ใจตั้งแต่กระบวนการผลิต และการจัดภูมิทัศน์รอบโรงงาน เป็นต้น นอกจากนั้น ยังได้จัดกิจกรรมรักษาสิ่งแวดล้อม โดยให้ชุมชน หน่วยงานราชการท้องถิ่น และพนักงานของกลุ่มบริษัทเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าว เพื่อความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน และสร้างจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนร่วมกัน
-
การพัฒนาและบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาลและจริยธรรม
ความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนด้วยหลักธรรมาภิบาลและจริยธรรม เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กลุ่มบริษัทให้ความสำคัญและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มบริษัทดำเนินงานด้วยความโปร่งใส โดยมีการเปิดเผยข้อมูลตามหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อสร้างความเป็นธรรมและเสริมสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ถือหุ้นทุกราย นอกจากนั้น ยังจัดให้มีระบบการตรวจสอบภายในโดยผู้ตรวจสอบอิสระภายในและภายนอกองค์กร เพื่อความถูกต้องและความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ
โดยในปี 2563 บริษัทมีความมุ่งมั่นสานต่อการดำเนินตามนโยบายการต่อต้านคอร์รัปชัน ตลอดจนการสื่อสารและประกาศเรื่องดังกล่าวไปยังคู่ค้าและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน รวมทั้งได้จัดอบรมให้บุคลากรและรณรงค์ภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้เปิดช่องทางการแจ้งข้อร้องเรียนและข้อเสนอแนะ (Whistleblowing) เพื่อรับข้อร้องเรียนจากผู้มีส่วนได้เสีย ผ่านกล่องรับความคิดเห็นและทางไปรษณีย์ ซึ่งส่งถึงประธานกรรมการธรรมาภิบาลโดยตรง โดยในปีที่ผ่านมาไม่ปรากฏข้อร้องเรียนจากผู้มีส่วนได้เสีย
นอกจากนั้น บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) (BRR) ได้รับการรับรองต่ออายุสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 กรกฏาคม 2564 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัท ในการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสสอดคล้องตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของบริษัท
ทั้งนี้ จากความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทได้รับผลประเมินระดับ “ดีเลิศ” หรือ “Excellent” จากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจัดโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ในปี 2561, 2562 และปี 2563 โดยปี 2563 มีระดับคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 94 ซึ่งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยโดยรวมของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
จากเป้าหมายระยะยาวในการพัฒนาและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทั้ง 5 ด้านนั้น บริษัทจึงได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้อยู่ใน “รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI” ประจำปี 2563 หรือ Thailand Sustainability Investment List 2020 ของกลุ่มธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร เป็นครั้งแรก และเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน 124 บริษัท ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทให้ความสำคัญในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล (ESG) ในกระบวนการดำเนินงานมากขึ้น และบริษัทจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาต่อไป