Back

BRR ฟอร์มสวยบุ๊คกำไร Q1/65 พุ่งทะยานกว่า 128% อยู่ที่ 425 ลบ. คาดผลงาน Q2/65 สดใสหนุนรายได้ทั้งปีโต 50% ตามแผน

“บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ หรือ BRR” ประกาศผลงานงวดไตรมาส 1 ปี 65 บุ๊คกำไร 425.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128.73% รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,212.21 ล้านบาท เติบโต 126.88% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน รับผลบวกจากราคาน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นและรับอานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า ทำให้กลุ่มธุรกิจกลับมามีกำไร ประเมินปี 65 กำไรฟื้นตัวต่ออย่างมีนัยสำคัญเหตุมีคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยในมือรอรับรู้รายได้ มั่นใจกลุ่มธุรกิจโตในทุกมิติ เชื่อรายได้พุ่ง 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนได้ตามแผน

นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 425.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 239.25 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างชัดเจน 128.73% จากงวดเดียวกันของปี 2564 ที่มีกำไร 185.85 ล้านบาท สาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับผลบวกจากราคาน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า โดยมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,212.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,237.14 ล้านบาท หรือคิดเป็น 126.88% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 975.07 ล้านบาท รายได้ที่เพิ่มขึ้นสาเหตุหลักมาจากการปรับแผนส่งมอบน้ำตาลในช่วงปี 2564 มาส่งมอบในปี 2565 ทำให้ปริมาณการขายน้ำตาลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 69,084 ตัน หรือเพิ่มขึ้นในอัตรา 244% รวมถึงราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยในปี 2565 ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก เมื่อเทียบกับปี 2564 เฉลี่ย 10% ต่อตันน้ำตาล

สำหรับศักยภาพการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ BRR ในปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายรายได้เติบโต 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหตุจากทุกธุรกิจในเครือเติบโต หนุนรายได้เติบโตแข็งแกร่ง และมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจแบบ New S Curve ที่เน้นความยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย อีกทั้งธุรกิจหลักมีแนวโน้มขาขึ้นจากความต้องการน้ำตาลในตลาดโลกขยายตัว ประกอบกับปริมาณผลผลิตน้ำตาลที่ออกสู่ตลาดมีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยขยายตัวมากขึ้น

“กลยุทธ์การเติบโตของ BRR เรามีแผนมุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืน เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์มีความผันผวนสูง และเพื่อลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจน้ำตาลเพียงอย่างเดียว บริษัทฯ จึงได้ลงทุนธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ชูการ์เคน อีโคแวร์ จำกัด (SEW) และได้หาพันธมิตรที่มีศักยภาพมาร่วมลงทุนธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (Wood pellet) เป็นการบริหารความเสี่ยงและต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย” นายอนันต์ กล่าว

โดยกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ชูการ์เคน อีโคแวร์ จำกัด (SEW) คาดว่าในปี 2565 จะกลับมามีกำไร จากการเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตสอดคล้องกับคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศซึ่งเป็นสัญญาจองซื้อระยะยาวเฟสแรกรวมจำนวนกว่า 15 ล้านชิ้นต่อเดือน และในประเทศประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยเตรียมขยายเฟส 2 ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 โดยจะใช้วัตถุดิบเยื่อชานอ้อย (เยื่อสีน้ำตาล) ซึ่งเป็นโนว์ฮาวเฉพาะของบริษัท ได้ตั้งงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านบาท สำหรับลงทุนในเครื่องจักรเพิ่มอีก 7 เครื่อง

“ทิศทางของธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยในปีนี้ แนวโน้มกลับมาเติบโตโดดเด่นซึ่งอยู่ในเทรนด์ของโลก สามารถกลับมาทำกำไรได้เนื่องจากมีออเดอร์ลูกค้าจากต่างประเทศที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเป็นสัญญาระยะยาวแล้วกว่า 90%” นายอนันต์ กล่าว

นอกจากนี้ BRR ยังลุยเสริมทัพด้วยธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (Wood pellet) โดยได้จัดตั้งบริษัท บีอาร์อาร์ กรีน โฮลดิ้ง จำกัด (BGH) ตอกย้ำการแตกไลน์ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Wood pellet ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ส่วนความคืบหน้าโครงการ Wood pellet ในสปป.ลาว อยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้างโรงงาน คาดจะเริ่มก่อสร้างโรงงานภายในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค.นี้ และจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตามแผนภายในไตรมาส 2 ปี 2566 มีขนาดกำลังผลิต 100,000 ตัน/ปี โดยบริษัท Kyuden Mirai Energy หรือ KME ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่ร่วมลงทุนและเป็นผู้ร่วมสนับสนุนให้เงินลงทุนดอกเบี้ยต่ำ ได้ทำสัญญาซื้อระยาว 15 ปีแล้ว

สำหรับแนวโน้มผลงานไตรมาส 2/2565 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก รับปัจจัยเชิงบวกด้วยราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นเป็นระยะๆ บวกกับสภาพอากาศในบราซิลซึ่งส่งผลให้ผลผลิตอ้อยในพื้นที่เพาะปลูกลดลง อีกทั้งภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มว่าอาจเกิดวิกฤติการขาดแคลนอาหารทั่วโลก ส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิด รวมถึงน้ำตาล แม้จะมีข่าวออกมาว่าปริมาณน้ำตาลส่งออกจากอินเดีย เพิ่มสูงขึ้นอีกประมาณ 2.00 - 2.50 ล้านตัน ส่งผลให้ตลาดน้ำตาลลดแรงกดดันเรื่องการขาดดุลน้ำตาลในปีนี้ลงบ้าง

“อย่างไรก็ตามก็ยังถือว่าเป็นช่วงที่ตลาดน้ำตาลยังเป็นไปในเชิงบวก โดยคาดการณ์ว่าราคาน้ำตาลทรายดิบในระยะเวลา 2 – 3 เดือนนี้จะอยู่ในช่วงราคา 18.50-20.50 เซนต์/ปอนด์ เนื่องด้วยปัจจัยที่มาสนับสนุนราคาตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจส่งออกน้ำตาลของไทยในปี 2565 โดยผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตปี 2564/65 ของโรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์อยู่ที่ 2.37 ล้านตัน สูงกว่าฤดูการผลิตที่แล้วประมาณ 32% ประกอบกับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อรายได้จากการส่งออกน้ำตาล และภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัท” นายอนันต์ กล่าวปิดท้าย